ปัจจุบันมีการพัฒนานำเทคโนโลยีการใช้เลเซอร์มาช่วยในการกำจัดขนซึ่งสามารถกำจัดขนได้คราวละมากๆ
ไม่เสียเวลาในการทำ ไม่สร้างความเจ็บปวด สามารถทำได้ทุกเพศทุกวัย
ทุกตำแหน่งที่มีขน ที่เราไม่ต้องการออกครับ หมอจึงอยากจะมาบอกการยิงเลเซอร์ของแต่ละตัวกันว่า แตกต่างกันอย่างไร …
Diode
Laser เลเซอร์กำจัดขน เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีเลเซอร์กำจัดขนที่นิยมในปัจจุบัน
ได้ถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น มีความยาวคลื่น 808 nm ซึ่งลงลึกถึงรากขน ทำให้เส้นขนขึ้นช้าลง
จำนวนและขนาดเส้นขนบางลงเมื่อยิงอย่างต่อเนื่องครับ การรักษาด้วย Diode Laser มีข้อดีคือ
ไม่เจ็บขณะยิง ไม่ตกสะเก็ด และสามารถกำจัดขนในบริเวณกว้างเช่น หลัง
หน้าแข้งต้นขา ได้อย่างรวดเร็ว เลเซอร์ตัวนี้หยุดการทำงานเส้นเลือดที่มาเลี้ยงบริเวณขนได้
ใช้สำหรับกำจัดขนทุกบริเวณของร่างกายครับ
โดยการส่งพลังงานจากเลเซอร์ไปทำลายเซลล์ต้นกำเนิดขน (hair
root) รากขนจะถูกทำลายอย่างรวดเร็ว
และยังมีระบบความเย็นขณะเลเซอร์สัมผัสผิวหนัง ช่วยในการปกป้องผิว ไม่เจ็บในขณะทำเลเซอร์ ถ้าเกิดยิงประมาณ
5-8
ครั้ง รากขนจะตายอย่างถาวรครับ และแสงในความยาวคลื่นนี้จะกระตุ้นการสร้างเส้นใยคอลลาเจนในผิวหนัง
ทำ ให้สภาพผิวบริเวณนั้นตึงเรียบขึ้นด้วย
ไม่ทำให้เกิดผลเสียในระยะยาวนะครับ
Q-Switched Nd:YAG Laser เป็นเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่น 532 และ 1064 นาโนเมตร ใช้ในการรักษาความผิดปกติของเม็ดสี โดยเลเซอร์ชนิดนี้จะถูกดูดซับในเซลล์เม็ดเลือดสีเมลานินใต้ผิวหนังชั้นลึกครับ จากนั้นเม็ดสีเหล่านั้นจะแตกออกแล้วค่อยๆถูกกำจัดออกจากผิว มีความเข้มข้นของแสงสูงและผ่านลงไปยังผิวได้ลึก
สามารถเผาผลาญและทำลายรากขนซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของเส้นขน สำหรับคนทุกสีผิวนะครับ โดยปราศจากการทำลายรูขุมขน สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย Yag
Laser ใช้ในการ กำจัดขน
โดยจะปล่อยพลังงานในช่วงความถี่ซึ่งสามารถเผาผลาญ และทำลายรากขนซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของเส้นขนโดยไม่ทำลายผิวหนังบริเวณข้างเคียงระหว่างการยิงเลเซอร์ครับ
ขณะรับการรักษาด้วย HELIOS II หรือ Yag Laser คนไข้จะรู้สึกอุ่นๆ และรู้สึกดีดๆ เล็กน้อยที่ผิวบริเวณที่มีความผิดปกติของเม็ดสีครับ วิธีการดูแลผิวภายหลังการเข้าการรักษาผู้ที่เข้าการรักษาอาจจะรู้สึกว่าผิวบริเวณที่ทำการรักษาจะแห้งลงเล็กน้อย หมอแนะนำให้ทาครีมบำรุงเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว และใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 30 ขึ้นไปนะครับ
ขณะรับการรักษาด้วย HELIOS II หรือ Yag Laser คนไข้จะรู้สึกอุ่นๆ และรู้สึกดีดๆ เล็กน้อยที่ผิวบริเวณที่มีความผิดปกติของเม็ดสีครับ วิธีการดูแลผิวภายหลังการเข้าการรักษาผู้ที่เข้าการรักษาอาจจะรู้สึกว่าผิวบริเวณที่ทำการรักษาจะแห้งลงเล็กน้อย หมอแนะนำให้ทาครีมบำรุงเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว และใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 30 ขึ้นไปนะครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น